ไม่ว่าอาหารชาติใดๆก็ตาม จบอาหารคาวต้องมีของหวานหรือเครื่องดื่มเย็นตบท้าย ของหวานๆแบบไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา ลอดช่อง หรือ จะเป็นขนมปัง ขนมเค้กล้วนเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายๆคน... แม้บางคนอาจจะบอกว่าไม่กินของหวานแต่ทุกเช้าต้องดื่มกาแฟสดหวานมัน หรือ โกโก้เย็น 1 แก้วใหญ่ ...แต่ ณ นาทีนี้ เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า ตัวการใหญ่ที่สำคัญ ที่เป็นปัญหาระดับโลกขณะนี้คือ “น้ำอัดลม” “เครื่องดื่มมีน้ำตาล”... ที่คิดว่าดื่มแล้วหวานชื่นใจ ที่ทำให้เกิดโรคอ้วนทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่
อาจารย์แพทย์หญิงประพิมพ์พร (ฉันทวศินกุล) ฉัตรานุกูลชัย หน่วยโภชนวิทยาเเละชีวเคมีทางการเเพทย์ คณะเเพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กับ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมองคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สะท้อนข้อมูลสุขภาพที่ต้องรับฟัง ทั้งนี้อาจจะเป็นจากการที่ “น้ำตาล” หวานอยู่ในรูปของเหลวเป็นน้ำ ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นศูนย์ในสมองที่ ไฮโปธาลามัส (hypothalamus) ได้มากพอเพื่อให้สนองความอิ่มและจะได้หยุดกิน และน้ำหวานเหล่านี้จะยิ่งก่อให้เกิดอ้วนรุนแรงขึ้นไปอีก ในคนที่มียีนหรือรหัสพันธุกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการอ้วนง่ายอยู่ด้วย เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์จะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากตัวน้ำอัดลม น้ำหวานเอง และจากอาหารแป้ง ฟาสต์ฟูด ซึ่งนิยมกินด้วยกัน และยังพร่องผัก ผลไม้ กากใย ไฟเบอร์ ที่ช่วยต้านการดูดซึมน้ำตาลเข้าเลือด “ทำให้น้ำตาลทะลักพรวดเข้าในทันทีทันใด ก่อให้เกิดการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินเพื่อกอบกู้ให้ระดับน้ำตาลคงที่ ไม่สูงเกินเป็นเบาหวาน แต่ถ้าภาวะนี้เกิดซ้ำซาก จะเกิดการดื้ออินซูลิน จนมีระดับสูงขึ้นๆ และอ้วนมากขึ้นทุกทีๆ”
คำถามยอดนิยม คือ กินหวานมากๆจะเป็นเบาหวานหรือเปล่า? จริงๆการกินหวานไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของโรคเบาหวาน แต่....แต่การที่ร่างกายเราได้รับน้ำตาลมากๆนั้นเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเราได้รับพลังงานส่วนเกินมาก และความอ้วนนั่นเองที่จะทำให้โรคแสดงตัวออกมา โดยถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในคนที่มีกรรมพันธุ์เบาหวาน ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น
คนอ้วนยังมีสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบมากในเลือดทำให้เส้นเลือดหัวใจ สมองตีบเร็วกว่าอายุ แถมส่วนมากยังไปชอบอาหารไขมัน ซึ่งเมื่อรวมกับหวาน จะทำให้กลไกกำจัดสารพิษอัลไซเมอร์ในสมองบกพร่อง เกิดมีการสะสมพิษ (unbound amyloid หรือ oligomer)มากขึ้น และสภาพดื้ออินซูลิน แม้ว่าระดับจะสูงในเลือด แต่ในสมองกลับลดลง ซึ่งอินซูลินมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคงสภาพการทำงานของสมอง ทั้งนี้...พบว่า คนอ้วนจะมีสมองหดฝ่อมากและเร็วกว่าคนไม่อ้วน *ทราบหรือไม่ว่าน้ำตาลที่ได้รับจากเครื่องดื่มหวานๆ หรือ น้ำอัดลม 1 แก้วนั้นอาจจะสูงถึง 12 ช้อนชา...ต่อแก้ว
คำแนะนำสำหรับคนไทยนั้นควรกินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา แต่คนไทยผู้ชื่นชอบอาหารรสจัดมีแนวโน้มบริโภคน้ำตาลเกินกว่านี้ประมาณ 3 เท่า
แล้วเราจำเป็นต้องการงดเว้นกินน้ำตาลไปเลยหรือไม่ คำตอบ คือ ตามธรรมชาติรสหวาน หรือน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบในอาหารอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ ธัญพืชและถั่วต่างๆ หรือแม้แต่นมนั้นมักจะมีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ควรเติมน้ำตาลเพิ่มเติมลงไปในอาหารมากมายนัก
ข้อแตกต่างของการกินน้ำหวานหรือน้ำตาลที่เราปรุงแต่ง เทียบกับน้ำตาลที่เราได้รับจากธรรมชาติ คือการที่เราดื่มน้ำผลไม้คั้นแยกกาก หรือ ดื่มเครื่องดื่มหวานๆ เช่น น้ำหวาน หรือ น้ำอัดลม จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการกินผลไม้ทั้งผล เนื่องจากการกินผลไม้สดนั้นจะมีส่วนของใยอาหารซึ่งจะเป็นตัวชะลอการดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลง บางคนอาจคิดว่า ดื่มน้ำผลไม้แทนดีกว่าน่าจะมีประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วการดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้วมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าการรับประทานผลไม้สดมาก เพราะการคั้นน้ำผลไม้ออกมาทำให้เราไม่ได้รับใยอาหาร วิตามินและเกลือแร่ก็จะสูญเสียไปในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนั้นหากขั้นตอนการเตรียมไม่ถูกหลักอนามัย เราอาจจะได้รับเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการติดเชื้อในทางเดินอาหารได้
การที่เราจะลดการบริโภคน้ำตาลลงได้นั้น ง่ายที่สุด คือ ลดปริมาณ หรือ ที่ถูกคือเลิกดื่มเครื่องดื่มหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้คั้นแยกกาก ชาเขียวรสน้ำผึ้ง นมรสหวาน หรือแม้แต่นมเปรี้ยว...ซึ่งมีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบมากมาย เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ 1 แก้วจะให้พลังงานสูงในเวลาอันรวดเร็ว แต่ไม่ทำให้เรารู้สึกอิ่ม จึงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ผู้ที่เป็นเบาหวานก็จะควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากกว่า เราจึงควรหันมารับประทานอาหารหวานตามธรรมชาติจะดีกว่าในแง่ที่ได้ประโยชน์มากกว่าทั้งวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร แต่อย่าลืมว่าผลไม้สดทุกชนิดนั้นรับประทานแต่พอดีก็จะมีประโยชน์มาก แต่หากเรารับประทานมากเกินไป อาทิ ทุเรียน มะม่วงสุกแถมข้าวเหนียวก็จะได้สารอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลมากเกินไปได้ ดังนั้น ทางสายกลางดีที่สุด
ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ ไม่กินน้ำตาลแล้วกินน้ำผึ้งแทนดีไหม รวมทั้งเครื่องดื่มหวานที่ย้ำนักหนาเวลาโฆษณาและข้างขวดว่าไขมัน 0% และไม่มีคอเลสเทอรอล แถมยังเลี่ยงว่าไม่มีน้ำตาล ซึ่งจริงๆคือไม่มีกลูโคส แต่กลับมีฟรุกโตสแทน จากการที่เรารู้ว่าดื่มน้ำอัดลม หรือ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบมากๆส่งผลร้ายต่อสุขภาพ คนไข้จำนวนหนึ่ง...รวมถึงคนไข้เบาหวาน มักชอบมาถามเป็นประจำว่า ไม่เคยเติมน้ำตาลในเครื่องดื่มแต่ใช้น้ำผึ้งแทน หรือ ในสูตรอาหารลดน้ำหนัก...ที่มีอยู่มากมายหลายล้านสูตร มักบอกว่าการดื่มน้ำผึ้ง ซึ่งอาจจะผสมด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำส้มหมัก จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว และไม่ดื่มน้ำอัดลมแต่ดื่มแต่ชาเขียว ชาขาวที่ไม่มีกลูโคส แต่มีน้ำตาลฟรุกโตส ทำไมกลับอ้วนขึ้น และคนที่เป็นเบาหวานระดับน้ำตาลกลับแย่หนักเข้าไปอีก
“น้ำผึ้ง” มีคุณสมบัติคล้ายน้ำเชื่อมแต่มีข้อดีกว่าตรงที่มีสารอาหารอื่นๆเป็นองค์ประกอบด้วย คือ มีโปรตีนปริมาณเล็กน้อย มีวิตามินและแร่ธาตุเป็นองค์ประกอบด้วย แต่...องค์ประกอบหลัก ประมาณ 80% ของ “น้ำผึ้ง” ก็คือ “น้ำตาล” นั่นเอง ดังนั้นในแง่ของพลังงานที่ได้รับ หรือ ความอ้วนที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่แตกต่างกันระหว่างน้ำผึ้งกับน้ำเชื่อมทั่วๆไป รสของน้ำผึ้งจะมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทั่วไปเนื่องจากมีน้ำตาลฟรุกโตสเป็นองค์ประกอบอยู่ค่อนข้างมาก ฟรุกโตสหวานกว่าน้ำตาลกลูโคสประมาณ 1.3 เท่า ดังนั้นถ้าอยากใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลต้องลดปริมาณการเติมลง เพราะมันหวานกว่าน้ำตาลทั่วไป และเป็นคำตอบว่าทำไมกินน้ำหวาน ที่เลี่ยงว่า...ใช้ฟรุกโตสที่สกัดจากธรรมชาติแทนน้ำตาล 100% ยังกลับอ้วนเฉยเลย *ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเรื่องของความหวานที่เป็นหวานเพชฌฆาต ภัยเงียบที่สร้างผลเสียกับสุขภาพคนไทย เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ และต้องระวัง ที่ไม่ให้ความหวานซ่อนมีดมาทำร้ายเราได้นั่นเอง.
Source :ไทยรัฐ
อาหารไทย | สูตรอาหารไทย | วิธีทำอาหารไทย | สูตรขนมไทย | สูตรขนมหวานไทย | ขนมหวาน | ขนมหวานไทย | เคล็ดลับคู่ครัว
© 2007 EzyThaiCooking.com All rights reserved .